วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

ผู้ที่ริเริ่มนำยางพาราเข้ามาสู่ประเทศไทย

 
    การผลิตยางในโลกสมัยก่อนปี พ.ศ.2443 นั้น ส่วนมากจะเป็นยางที่ปลูกในประเทศแถบอเมริกาใต้คือ บราซิล โคลัมเบีย และปานามาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นยังมียางที่ได้จากรัสเซีย และอัฟริกาเป็นบางส่วน และในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ยางเริ่มมีความสำคัญ ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์มากขึ้นแล้ว โลกจึงมีความต้องการใช้ยางเป็นจำนวนมาก โธมัส แฮนคอก จึงมีความคิดว่า ถ้าโลก หมายถึงยุโรป ยังคงต้องพึ่งยางที่มาจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้นเพียงอย่างเดียว ในอนาคตอาจจะเกิดความขาดแคลนยางขึ้นได้ จึงน่าที่จะหาที่ ใหม่ๆในส่วนอื่นๆของโลกเพื่อปลูกยางเอาไว้บ้าง ในปี พ.ศ.2398 จึงนำความคิดนี้ไปปรึกษาเซอร์โจเซฟ ฮุกเกอร์ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรชาวยุโรปในยุคนั้น ยังไม่มีใครรู้จักยางกันมากนักว่า ยางมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรือแม้กระทั่งได้ยางมาอย่างไรจากต้นอะไร จนกระทั่งในปี พ.ศ.2414 จึงมีผู้นำภาพวาดต้นยางมาให้เซอร์โจเซฟ ฮุกเกอร์ ดูท่านจึงมีความสนใจในการปลูกยางมากขึ้น จึงได้ปรึกษากับเซอร์คลีเมนส์ มาร์คแฮม ผู้ช่วยเลขาธิการประจำทำเนียบ ผู้ว่าการประจำอินเดีย ความพยายามที่จะนำยางมาปลูกในเอเชียจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สถานะการณ์ยางในประเทศแถบอเมริกาใต้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากในสภาวะที่โลกมีความต้องการยางสูงมาก ชาวสวนยางในโคลัมเบียและปานามาจึงโหมกรีดยางกันอย่างหนัก จนในที่สุด ต้นยางในประเทศนั้นจึงได้รับความบอบช้ำมาก และตายหมดจนไม่มีต้นยางเหลืออยู่ในแถบนั้นอีกเลย
     เซอร์คลีเมนส์ จึงนำพันธุ์ยางมาทดลองปลูกในอินเดียเป็นครั้งแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้ทดลองปลูกยางในดินแดนต่างๆ ที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ในที่สุดจึงพบว่า ในดินแดนแหลมมลายูเป็นที่ที่ยางจะเจริญเติบโตได้ดีที่สุด และยังพบว่า พันธุ์ยางที่ดีที่สุดคือยางพันธุ์ Hevea Brasiliensis หรือยางพารา ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2425 ยางพาราจึงเป็นที่ นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในแหลมมลายูในระยะแรกเริ่ม ยางพาราจะปลูกกันมากในดินแดนอาณานิคมของอังกฤษและฮอลแลนด์เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น เยอรมันก็ปลูกยางไว้ที่อัฟริกาบ้าง และบางส่วนเป็นยางในรัสเซีย เหตุที่ยางพาราเป็นที่นิยมปลูกกันมากในเอเชีย อาจเนื่องมาจาก ในเอเชียมีองค์ประกอบต่างๆที่เหมาะสมในการปลูก ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ ภูมิประเทศ สภาพดิน และปริมาณฝน รวมทั้งแรงงานที่หาได้ง่าย ประกอบกับคุณสมบัติทางการเกษตรและการพาณิชย์ของยางเอง เช่น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นควนเขา ไม่สามารถปลูกพืชอื่นได้ แต่ปลูกยางได้ยางเป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลรักษามากนัก โรคและศัตรูพืชน้อย ไม่ต้องมีการเฝ้ารักษา เพราะผลผลิตของยางไม่สามารถขโมยกันได้ ผลผลิตยางสามารถขายได้ทุกคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นยางคุณภาพเลวเพียงใดก็ขายได้ เป็นยางปนกรวด ปนดิน ปนทราย ก็ขายได้ แม้แต่ขี้ของขี้ของขี้ของยาง ก็ขายได้ ไม่ต้องง้อคนซื้อ เพราะผลผลิตไม่เน่าเสีย ในอดีต เป็นสินค้าที่ขายได้คล่อง และขายได้จนหมด ไม่มีเหลือ ในอดีต ให้ผลผลิตที่ยาวนาน และแน่นอน
      และผู้ที่ริเริ่มนำยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทยต้นยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่า สยาม ประมาณกันว่าควรเป็นหลัง พ.ศ.2425 ซึ่งช่วงนั้น ได้มีการขยายเมล็ดกล้ายางพารา จากพันธุ์ 22 ต้น นำไปปลูกในประเทศต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย และมีหลักฐานเด่นชัดว่า เมื่อ ปี พ.ศ.2442 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี หรือชื่อที่คนรู้จักกันคือ คอซิมบี้ ณ ระนอง เป็นผู้เหมือนหนึ่ง บิดาแห่งยาง เป็นผู้ที่ได้นำต้นยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรกจากนั้น พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ได้ส่งคนไปเรียนวิธีปลูกยางเพื่อมาสอนประชาชน นักเรียนของท่านที่ส่งไปก็ล้วนแต่เป็นเจ้าเมือง นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้านทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นท่านก็สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นำพันธุ์ยางไปแจกจ่าย และส่งเสริมให้ราษฎรปลูกทั่วไป ซึ่งในยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคตื่นยาง และชาวบ้านเรียกยางพารานี้ว่า ยางเทศา ต่อมาราษฎรได้นำเข้ามาปลูกเป็นสวนยางมากขึ้นและได้มีการขยายพื้นที่ปลูกยางไปในจังหวัดภาคใต้รวม 14 จังหวัด ตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงจังหวัดที่ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย จนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางทั้งประเทศประมาณ 12 ล้านไร่ กระจายกันอยู่ในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางใหม่ การพัฒนาอุตสาหกรรมยางของประเทศได้เจริญรุดหน้าเรื่อยมาจนทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางได้มากที่สุดในโลก
       ความคิดที่จะนำยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีเดินทางไปดูงาน ในประเทศมลายู เห็นชาวมลายูปลูกยางกันมีผลดีมากก็เกิดความสนใจที่จะนำยางเข้ามาปลูกในประเทศไทยบ้าง แต่พันธุ์ยาง สมัยนั้น ฝรั่งซึ่งเป็นเจ้าของสวนยาง หวงมาก ทำให้ไม่สามารถนำพันธุ์ยางกลับมาได้ ในการเดินทางครั้งนั้น จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 พระสถล สถานพิทักษ์ เดินทางไปที่ประเทศอินโดเซีย จึงมีโอกาสนำกล้ากลับมาได้ โดยเอากล้ายางมาหุ้มรากด้วยสำลีชุบนน้ำ แล้วหุ้มทับด้วยยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่งจึงบรรจุลงลังไม้ฉำฉา ใส่เรือกลไฟซึ่งเป็นเรือส่วนตัวของพระสถล รีบเดินทางกลับประเทศไทยทันทียางที่นำมาครั้งนี้มีจำนวน ถึง 4 ลัง ด้วยกันพระสถลสถานพิทักษ์ ได้นำมาปลูกไว้ที่บริเวณหน้าบ้านพัก ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือให้เห็นเป็นหลักฐานเพียงต้นเดียว อยู่บริเวณหน้าสหกรณ์การเกษตรกันตัง และจากยางรุ่นแรกนี้ พระสถลสถานพิทักษ์ ได้ขยายเนื้อที่ปลูกออกไป จนมีเนื้อที่ปลูกประมาณ 45 ไร่ นับได้ว่า พระสถลสถานพิทักษ์ คือผู้เป็นเจ้าของสวนยางคนแรกของประเทศไทยและจากการที่ท่าน  พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี นำเข้ายางพาราเข้ามาและส่งผู้คนไปร่ำเรียนจนได้ความรู้ก็ทำงานธุรกิจยางพาราในไทยกลายเป็นธุรกิจหลักในไทยอีกหนึ่งอาชีพที่พี่น้องชาวภาคใต้เราทำการปลูกและขายเพื่อเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิตและยังเป็นธุรกิจส่งออกแนวหน้าของไทยอีกหนึ่งธุรกิจอีกด้วย และราคายางแผ่น หรือ ราคาขี้ยาง ก็ สามารถทำรายได้ที่สูงให้กับคนไทยอีกด้วย

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของยางพารา


   ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมยาง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตยางอันดับหนึ่งของโลกจึงมีโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปเบื้องต้นให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้ รวมทั้งพัฒนาการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยางในชั้นปลาย ทั้งนี้หน่วยงานภาครัฐได้สนับสนุนให้มีการใช้ยางธรรมชาติในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยให้มีการเพิ่มการผลิตยางที่มีศักยภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ยาง สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางให้มากขึ้นโดยมีเป้าหมายเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศเป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่มีการใช้เพียงร้อยละ 11 ของผลผลิตทั้งหมด หรือประมาณ 3 .2 ถึง3.4 แสนตันต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2553 คาดว่าจะมีการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมในประเทศประมาณ 0.373 ล้านตัน โดยจะเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากประเทศผู้ใช้ยางส่วนใหญ่ เช่น จีน ญี่ปุ่น มีการขยายฐานการผลิตในไทยมากขึ้น การใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมภายในประเทศประกอบด้วยยางยานพาหนะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดของประเทศในปี 2552 มีมูลค่าการส่งออก 68726.08 ล้านบาทได้แก่ ล้อรถยนต์ ล้อเครื่องบิน ล้อรถจักรยายนต์ ล้อรถจักรยาน และล้อรถอื่นๆ ทั้งยางนอกและยางใน รวมถึงยางอะไหล่รถยนต์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ยางในกลุ่มนี้มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบเกือบร้อยละ 50 โดยใช้ประมาณ ปีละ 158883 ตัน ยางยืดและยางรัดของ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางธรรมชาติจำนวนมากในส่วนผสมยางยืดใช้ใน อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าต่างๆ ส่วนยางรัดของก็ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันใช้ยางธรรมชาติในการผลิตถึงปีละ 90561 ตัน หรือร้อยละ 28.22 ถุงมือยางทางการแพทย์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกรองจากยางยานพาหนะ ปี 2553 มีมูลค่าการส่งออก 2274.9 ล้านบาท ถุงมือยางที่ผลิตในประเทศไทย ประกอบด้วย ถุงมือตรวจโรค และถุงมือผ่าตัด สำหรับวัตถุดิบยางธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตถุงมือยาง เป็นนํ้ายางข้น มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติปีละ 57120 ตัน ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ17.80 ของปริมาณการใช้ยางทั้งหมด
       รองเท้าและอุปกรณ์กีฬา รองเท้ายางและพื้นรองเท้าที่ทำจากยางธรรมชาติรวมทั้งอุปกรณ์กีฬาบางชนิด มีส่วนผสมที่เป็นยางธรรมชาติและผลิตในประเทศไทยปีหนึ่งจำนวนไม่น้อย ในปี 2549 ใช้ยางธรรมชาติในการผลิตประมาณ 8492 ตัน สายพานลำเลียง ใช้งานในการลำเลียงของหนักชนิดต่างๆ มีขนาดตั้งแต่ 2ถึง3 นิ้ว ไปจนถึง 1.5 เมตร ผลิตภัณฑ์ยางกลุ่มนี้มีการนำเข้ามากกว่าการส่งออก โดยในปี 2549 มีมูลค่าการส่งออก 1057 ล้านบาท และนำเข้า 1620 ล้านบาท ในการผลิตสายพานใช้ยางปีละประมาณ 1318 ตัน เป็นยางแผ่นรมควันชั้นและยางแท่ง STR XL20 ผลิตภัณฑ์ฟองนํ้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนํ้ายางข้น ปี 2549 มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติ 364 ตัน ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ มีโรงงานผลิต 12 โรง สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอน โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ จะใช้วัสดุจำพวกยางและนำเข้าจากต่างประเทศ ให้ความรู้สึกในการปฏิบัติงานเหมือนของจริง ยางพาราสามารถนำไปใช้ผลิตสื่อการสอน การฝึกปฏิบัติงานได้เป็นอย่างเช่นกันโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยางฟองนํ้า เช่น โมเดล ร่างกายมนุษย์ สัตว์ แขนเทียมสำหรับฝึกทางการแพทย์ เป็นต้นนี้คือประโยชน์มากมายของยางพาราและยังอีกตั้งมากมายที่ผลิตจากยางพารา และคิดค้นแปรรูปจากคนไทยเช่น กระเบื้องยางพาราเป็นต้น เพราะชนะนานยางพาราก็เป็นสินค้าทางการเกษตรที่สามารถสร้างรายได้และส่งออกไปสู่ต่างประเทศเพื่อนนำเงินเข้าสู่ประเทศไม่แพ้สินค้าทางการเกษตรชนิดอื่นๆแต่ช่วงนี้ราคายางพาราอยู่ในช่วงที่ไม่แพงทำให้แรงการผลิตก็น้อยลงไปด้วยเนื่องด้วยทำไปแล้วทางเจ้าของสวนยางพาราอาจจะเห็นว่าไม่คุ้มหรืออาจจะได้ผลกำไรที่น้อยเกินไปทางผลิตยางพาราเลยต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือในด้านนี้ โดยตอนนี้ ราคายางพาราจะอยู่ที่ กิโลกรัมล่ะประมาณ61บาท ส่วน ราคาขี้ยาง อยู่ที่ราวๆกิโลกรัมล่ะ17ถึง18บาทต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

เครื่องมือในการเก็บขี้ยาง

 
 
   วิธีการแคะยางออกจากถ้วยในกระบวนการทำยางก้อนถ้วยนั้น ก็ทำได้โดยการใช้มือแกะ แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือวิธีการนี้จะทำให้ผิวหนังสัมผัสกับกรดโดยตรงด้วย ดังนั้น ถ้าเราสามารถสร้างอุปกรณ์เก็บยางก้อนถ้วยโดยไม่ต้องใช้มือสัมผัสก็น่าจะเป็นประโยชน์ ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ได้เกิดขึ้นโดยกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมศึกษา 3 คนจากโรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ ที่จังหวัดศรีสะเกษ ภายใต้โครงการที่ สกว  สนับสนุนที่เรียกว่าโครงการยุววิจัยยางพารา หมายความว่าเป็นโครงการที่สนับสนุนให้เด็กนักเรียนได้เริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นนักวิจัยเครื่องมือที่นักเรียนกลุ่มนี้สร้างขึ้น เรียกได้ว่าเป็นผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งประดิษฐ์ เพราะว่าได้มีการนำความรู้ทางทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ แล้วสร้างเครื่องมือขึ้นมาก่อนที่จะนำไปทดลองให้ชาวสวนยางได้ใช้ประโยชน์จริง แล้วมีการใช้กระบวนการทางการวิจัยในการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ในที่สุดก็ได้ชิ้นงานออกมาคือเครื่องมือเก็บยางก้อนถ้วยที่สามารถถือได้ด้วยมือเดียว มีขนาดเล็กเหมือนคีม หรือกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ทั่วไป แต่สามารถใช้เก็บยางก้อนถ้วยได้เร็วกว่าเดิม และสามารถทำได้สะดวกขึ้นมาก แต่ที่สำคัญคือ มือไม่ต้องสัมผัสกับตัวก้อนยาง จึงไม่ต้องสัมผัสกับกรดที่ยังตกค้างอยู่ในถ้วยเครื่องมือที่ว่านี้มีประโยชน์อย่างมาก และเป็นที่สนใจของเอกชนที่จะนำไปผลิตขาย ขณะนี้ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ไปเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะเจรจากับภาคเอกชนในการนำไปผลิตขายต่อไป

        จะเห็นได้ว่างานวิจัยหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องใช้นักวิจัยมืออาชีพตามมหาวิทยาลัย นี่ขนาดเด็กนักเรียน มัธยม ยังสามารถสร้างสิ่งที่เป็นความรู้ใหม่และเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำมาใช้ในการแก้ปัญหาใกล้ตัวอย่างเช่นเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คงต้องให้ผู้ใหญ่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างความรู้ในหมู่เด็กและเยาวชนของเราต่อไปอย่างจริงจังสำหรับเด็กนักเรียนทั้งสามคนที่ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือเก็บยางก้อนถ้วยนี้ก็ได้แก่ นายนัฐพล สุขพันธ์ นางสาวสุพัตรา  อ่ำศรี และนางสาวจุฑามาศ นพเก้า โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษา 2 ท่านคืออาจารย์ดวงแข ปัญญา และอาจารย์ไสว อุ่นแก้ว ซึ่งควรได้รับการยกย่องและให้เกียรติว่าเป็นผู้ที่พยายามพัฒนาเครื่องมือช่วยอุตสาหกรรมยางดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลดีต่อวงการอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศได้ในอนาคต และคาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีการนำความรู้ที่ได้จากงานชิ้นนี้ไปผลิตออกมาเป็นเครื่องมือที่ใช้กันทั่วไปในราคาที่หาซื้อได้ และที่สำคัญคือริเริ่มมาจากฝีมือเด็กไทยครับซึ่งในช่วงนี้ ราคาขี้ยาง อยู่ในช่วงเวลาที่ไม่สูงทำให้ช่วยเหลือความสะดวกสบายและลดค่าใช้จ่ายแก่เจ้าของสวนยางพาราที่ไม่อยากจ้างคนกรีดยางทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นโดยช่วงนี้ ราคาขี้ยาง อยู่ที่ กิโลดกรัมล่ะ17ถึ18บาท ต่อกิโบกรัม

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

ยางพาราและราคาขี้ยาง

    ราคาขี้ยาง ภาคเหนืออยู่ที่  17ถึง18 บาท ต่อ กิโลกรัม
     สถานการณ์ราคายางพารายังวิกฤต  นายก ลั่นพยายามดันให้ราคาขึ้นไปถึง 65 บาท กก ด้านสมาคมยางพารา จี้ผู้ว่าฯเร่งหามาตรการช่วยเหลือหลังนายสาย อิ่นคำ กรรมการสมาคมยางพารา สถาบันเกษตรกรยางพาราไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ สถานการณ์ราคายางพาราก็ไม่ดีขึ้น โดยราคายางก้อนถ้วยวันนี้ 6 มกราคม ราคาอยู่ที่ กิโลกรัม ละ 17ถึง18 บาท มีขยับหลังปีใหม่เล็กน้อย 1 บาท เท่านั้นส่วนสถานการณ์ราคายางพาราแผ่นดิบยังไม่กระเตื้อง นิ่งสงบปิดตายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 43ถึง44 บาท เท่านั้น ที่สำคัญไม่มีการซื้อขายยางพาราแผ่นดิบเลย ชาวบ้านที่ทำก็เก็บไว้รอเวลาที่ราคาจะขยับขึ้น ขณะที่แรงงานรับจ้างกรีดยางก็ลดน้อยลงทุกขณะ กว่าร้อยละ 50 เจ้าของสวนกรีดเองไม่จ้างแรงงาน เพราะรายได้ที่จะต้องแบ่งมีน้อยลง

        นายสาย กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวไม่สามารถทำให้เกษตรกรยางพาราในจังหวัดพะเยาหยุดนิ่งได้อีกต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มแกนนำเกษตรกรพยายามติดต่อและประสานงานขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไปทุกช่องทางแล้ว ผมตัดสินใจขอสายตรงถึงผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาทันทีภายในสัปดาห์นี้ ว่าจังหวัดจะมีมาตรการเร่งด่วนรองรับเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกรชาวสวนยางอย่างไรบ้าง เพราะตลาดซื้อขายยางพาราแผ่นดิบในพื้นที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวถึงสถานการณ์ราคาข้าวและยางพาราว่า ตอนนี้ข้าวราคาขึ้น 0 15เปอเซ็น อยู่ที่ประมาณ 12900 บาท ตัน ส่วนราคายางประมาณ 61 บาทกิโลกรัมและจะพยายามทำให้ราคาขึ้นไปถึง 65 บาทต่อ กิโลกรัมอย่าไปมองเป็นจุด ๆ ถ้ายางไม่ได้คุณภาพต้องลดราคาลงมา ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 50 กว่าบาทต่อกิโลกรัมเราต้องค่อย ๆ แก้ปัญหา ถ้าแก้รวดเดียวใช้เงินอุดหนุนแล้วเมื่อไหร่จะพอ ตอนนี้กำลังดูว่าคนกรีดยางจะทำอย่างไร วันนี้การทำยางไม่เหมือนกัน ภาคใต้กรีดเอง ภาคอีสานมีบริษัทจ้างคนงานคิดค่าแรงต่างหาก เราต้องแก้ทั้งระบบ

     ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการแปรรูปยางธรรมชาติ เพื่อนำไปสร้างพื้นลู่ ลานกรีฑา และพื้นลานอเนกประสงค์ ซึ่งจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก ตลอดจนสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการยางพาราได้อีกทางหนึ่ง ราคาขี้ยาง โดยราคาอยู่ที่17ถึง18บาท โดยเจ้าของส่วยแบ่งกับผู้กรีด อัตตราส่วนแบ่งเจ้าของสวน60และผู้กรีด40เป็นราคาโดยทั่วไปคิดแล้วเจ้าของสวนจะได้อยู่ที่ประมานกิโลกรัมล่ะประมาน7บาทส่วนด้านราคายางพาราก็สนนราคาขายกันที่43ถึง44บาทต่อ กิโลกรัมอัตตราส่วนแบ่งก็60ต่อ40เช่นเดิมแต่มีเจ้าของสวนยางพาราหลายรายไม่สามารถที่จะจ้างคนงานกรีดยางโดยเนื่องจากราคายางที่ตกต่ำโดยถ้าจ้างคนงานผลกำไรที่ได้มาก็น้อยลงและไม่คุ้มต่อการลงทุ่นเจ้าของสวนยางพาราหลายต่อหลายรายจึงแรกที่จะทำกันเอง
     
       เข้าไปเยี่ยมเพื่อนที่รับซื้อขี้ยาง ยางก้อนถ้วย ที่หมู่บ้านใน อำเภอ รามัน จังหวัด ยะลายืนดูชาวบ้านมาขายขี้ยาง ในราคา18 บาท ซึ่งเป็น ราคาขี้ยาง ล้วนๆไม่มีเปลือกยางเจือปน18บาทครับพี่น้อง ราคารับซื้อไม่ขึ้นไปจากราคาก่อนออกมาแทรกแซงราคาของรัฐบาลเลย  มันหมายความว่าไงครับรึนโยบายที่รัฐออกมาพยุงราคารับซื้อไม่ได้ผล ไม่มีฝีมือ สอบถามเพื่อนที่รับซื้อถึงราคาขี้ยางในอนาคตว่าจะดีขึ้นกว่านี้อีกหรือไม่ คาดว่าราคาจะเป็นอย่างไรต่อไป  เพื่อนบอกหากยังอยู่อย่างนี้น่ากลัวว่าราคาจะลงไปถึง10 บาท ต่อ กิโลกรัมในไม่ช้าสลดใจที่ได้ยินการคาดคะเนราคายางในคนาคต   เศร้าใจครับ  คงต้องยอมก้มหน้ารับกรรมไปทำไงได้  เชิญเขามาเองก็งี้  สากมันจุกอยู่เต็มปากคายไม่ออกพูดไม่ได้หลวงพี่เท่งบอกไว้คนกันเองพวกเดียวกัน